ในแต่ละประเทศล้วนมีประเพณีและขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่นำมาใช้กำหนดบรรทัดฐานทางกฎหมายที่หลากหลายเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แนวโน้มระหว่างประเทศ ความต้องการทางสังคมและวัฒนธรรม สิ่งปลูกสร้างโครงเหล็กและไม้ของญี่ปุ่นรวมกันต้องมีสัดส่วนมากกว่า 75% ของทั้งหมด รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ สภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติ ตลอดจนอิทธิพลทางสังคม วัฒนธรรมและกฎระเบียบ อีกทั้งประเทศญี่ปุ่นได้สร้างกำแพงเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตลอดจนพัฒนาเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างและเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภูมิอากาศและปรากฏการณ์แผ่นดินไหวของประเทศญี่ปุ่นมีผลกระทบต่อวัสดุผนัง
วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีความตระหนักถึงความเป็นระเบียบและผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประเทศอื่นๆ นอกจากเรื่องการทำงาน การคมนาคมแล้ว ยังมีการจัดการถึงภาพลักษณ์ของตึกอาคารที่มีรอยร้าว หลุดลอก อาคารเก่าที่ไม่น่าดู
นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการจัดการอพาร์ทเม้นต์ ตึกอาคารของญี่ปุ่นแล้ว ยังมีระบบการซ่อมแซมและเงินสะสมอีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้นอกจากจะใช้จ่ายเป็นค่าจัดการตามแผนการการซ่อมบำรุงในระยะยาวแล้วยังจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินกองทุนเพื่อบำรุงรักษาไปยังบัญชีพิเศษแบบประจำ เมื่อต้องการใช้ในการซ่อมแซม บำรุงอาคารก็สามารถนำเงินในส่วนนี้ไปใช้ได้
กฎหมายการถือครองกรรมสิทธ์อาคารของญี่ปุ่นให้อิสระผู้ประกอบการในการจัดการซ่อมบำรุงรักษา ซ่อมแซมอาคาร แต่การสรุปมติต่างๆ ในที่ประชุมตามหลักเกณฑ์การจำแนกนั้นยังต่ำกว่าของไต้หวัน
ที่ไต้หวันไม่มีระบบกองทุนบำรุงรักษา อพาร์ทเม้นต์ ตึก อาคารต่างๆ ที่ต้องการซ่อมบำรุงจะต้องใช้เงินจากส่วนที่เหลือจากการจัดการรายเดือน ซึ่งโดยทั่วไปค่าธรรมเนียมในการจัดการยิ่งต่ำเท่าไหร่ยิ่งดี และส่วนใหญ่สามารถจ่ายค่าดำเนินการและค่าบำรุงรักษาเป็นรายวัน ถ้าหากจำเป็นที่จะต้องมีโครงการบำรุงรักษาขนาดใหญ่คณะกรรมการจะเป็นผู้ตัดสินใจร่วมกับเจ้าของบ้าน เนื่องจากโครงการซ่อมแซมบำรุงอาจมีความล้าช้าหรืออาจจะไม่ได้รับการแก้ไขเลย ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ชุมชนเก่าและอพาร์ทเม้นต์หลายแห่งที่ไม่มีคณะกรรมการบริหารจัดการเลย
การวางแผนที่เหมาะสมของการซ่อมแซมรวมถึงความกังวลว่าลักษณะของอาคารจะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์โดยรวมของชุมชนหรือไม่ ดังนั้นเพื่อให้การซ่อมแซมผนังบ้านเก่าและซ่อมแซมผิวในญี่ปุ่นให้กลายเป็นอุตสาหกรรมทั่วไป โดยมีข้อกำหนดพิเศษสำหรับรายละเอียดการซ่อมแซมต่างๆ และในปัจจุบันความต้องการในการซ่อมแซมตึกอาคารกำลังเฟื่องฟูในตลาดสีและงานผนัง
สภาพแวดล้อมของญี่ปุ่นต้องเผชิญกับอุณภูมิสูงสุดอยู่ที่ 30 องศาเซลเซียสและอุณหภูมิต่ำสุด 0 องศาเซลเซียสในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการจัดการกับความร้อนของอาคารถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผน”มาตรการลดภาวะโลกร้อน” ในเดือนพฤษภาคม 2016 กำหนดเป้าหมายสำหรับการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้พลังงาน เป้าหมายในปี 2020 คือมี 50%ของบ้านเดี่ยวที่สร้างขึ้นใหม่เป็นแบบบ้านพักที่มีพลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy House;ZEH)และบ้านที่สร้างใหม่ทั้งหมดต้องบรรลุเป่าหมาย ZEH ให้ได้ภายในปี 2030
Zero-energy building (อาคารที่มีพลังงานสุทธิเป็นศูนย์) หมายถึงตัวอาคารที่มีการใช้พลังงานเป็นศูนย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนอกเหนือจากตัวอาคารใช้พลังงานแสงอาทิตย์และวิธีการอื่นๆในการรวบรวมและผลิตพลังงานด้วยตนเองและลดการใช้พลังงานโดยผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้ไฟจากธรรมชาติ ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ อีกทั้งอาคารที่สามารถรักษาอุณหภูมิและกันความร้อนได้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
จากข้อมูลของ International Energy Agency;IEA ปริมาณการใช้พลังงานในอาคารทั่วโลกทั้งหมดคิดเป็น 32-40% ซึ่งการใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าประมาณ 30-40% และเครื่องปรับอากาศใช้พลังงานประมาณ50% ซึ่ง 50 - 80% ในการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศเสียไปกับการขจัดความแตกต่างของอุณหภูมิจากสภาพแวดล้อมภายนอก นั่นคือความร้อนที่ผ่านมาทางผนังและหน้าต่าง อีกทั้งยังมีพลังงานสูญเปล่าของโลกอีก 10-18%
การสร้างฉนวนกันความร้อนมีวิธีการทำหลักๆดังนี้ 1.ใช้หน้าต่างกระจกสองหรือสามชั้นที่มีการแผ่รังสีความร้อนต่ำ 2.หลังคา ดาดฟ้า ช่วยลดการดูดซับความร้อน 3.ผนังอาคารปกคลุมไปด้วยวัสดุฉนวนเพื่อแยกพลังงานความร้อน ในกรณีของฉนวนผนังโดยทั่วไปแล้วมักจะวางไว้ด้านในของผนังของผิวภายนอกของอาคาร จากนั้นผนังจะถูกห่อหุ้มและดำเนินการประดับตกแต่ง
โครงการก่อสร้างรูปแบบ ZEH ของญี่ปุ่น (ネット・ゼロ・エネルギー・ハウス)に関する情報公開について
การหมุนเวียนพลังงานเป็นวิธีการที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าการปิดแอร์ทั้งหมด (จีนไต้หวัน)
อาคารรูปแบบกรีนช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างไร? (จีนไต้หวัน)
By Qais Tabib - Own work, CC BY-SA 3.0, Link
วัฒนธรรมทางสังคมของญี่ปุ่นนิยมใช้ไม้ในการสร้างบ้านซึ่งแตกต่างจากทางไต้หวันที่นิยมใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก RC ในการสร้างบ้านแทบจะทั้งหมด จากการสำรวจของกระทรวงภายในประเทศญี่ปุ่นในปี 2014 พบว่ามีการก่อสร้างโดยใช้โครงสร้างเหล็กและไม้ประมาณ 70%
การก่อสร้างโดยใช้โครงไม้และโครงเหล็กต่างจากการก่อสร้างโดยใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก RC ที่จะต้องมีการเทคาน และทำโครงเป็นช่องเล็กๆเพื่อให้สามารถบรรจุวัสดุและก่อตัวขึ้นมาเป็นผนังได้
โครงสร้างมีผลกระทบต่อการก่อสร้างรวมถึงการติดตั้งฉนวนกันความร้อน ซึ่งทำให้เกิดการนำไปสู่การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงผนังฉนวนกันความร้อนของญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันผนังฉนวนกันความร้อนที่เป็นไฟเบอร์กลาสมีประมาณ 50% และผนังภายนอกใช้เป็นเซรามิกแขวนเป็นหลักประมาณ 70% ส่วนผนังภายในมีความหลากหลายซึ่งยึดตามการออกแบบ การก่อสร้าง และวัสดุ
ในปัจจุบันไต้หวันไม่ได้มีการบังคับให้ใช้ผนังฉนวนกันความร้อนหรือมีข้อบังคับในการใช้พลังงาน ซึ่งอาคารส่วนใหญ่ที่ไต้หวันล้วนแต่เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก RC โดยพิจารณาประกอบกับสภาพอากาศที่มีฝนตกชุก และอาคารภายนอกส่วนใหญ่จะใช้เป็นผนังกระเบื้องหรือซีเมนต์ธรรมดา
ข้อมูลอ้างอิง
ภาพรวมพัฒนาอุตสาหกรรม “บ้านพักที่มีพลังงานเป็นศูนย์(ZEH)” ของญี่ปุ่น (จีนไต้หวัน)
13% ของที่อยู่อาศัยแบบประหยัดพลังงาน มีพลังงานสุทธิน้อยกว่าศูนย์ (จีนไต้หวัน)
PDF ของมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานใหม่ของญี่ปุ่น (จีนไต้หวัน)
PDF กฎระเบียบและรางวัลใหม่ล่าสุดของที่พักอาศัยแบบประหยัดพลังงานของญี่ปุ่น (จีนไต้หวัน)