คิ้วกันสาด แถบกันน้ำฝน ที่ครอบกันฝน แผ่นระบายน้ำล้วนเป็นวัสดุที่ใช้สำหรับอาคารโดยนำมาใช้ในการป้องกันน้ำฝน แต่มีคุณสมบัติและพื้นที่ในการติดตั้งที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงคำที่ใช้เรียกในภาษาจีน ภาษาอังกฤษและการประยุกต์ใช้ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย
ไต้หวันตั้งอยู่ในเขตโซนร้อน ฤดหนาวจะไม่มีการแข็งตัวของน้ำแข็งและหิมะ อาคารส่วนใหญ่ใช้คอนกรีตเสริมแรง โครงสร้างเหล็ก จุดประสงค์ในการติดตั้งคิ้วกันสาดมี2ประการคือ
คิ้วกันสาดไม่มีชื่อเรียกที่ตายตัว ผู้ผลิตบางร้านก็เรียกว่าแถบกันน้ำฝน(ป้องกันคราบสกปรก) คิ้วกันสาด(ป้องกันคราบสกปรก) ที่ครอบกันน้ำฝน รางน้ำฝน แถบปัดน้ำฝนเป็นต้น
คิ้วกันสาดในภาษาอังกฤษ ชื่อที่ใกล้เคียงคือdrip strip(แถบกันน้ำฝน) drip edge(ขอบกันน้ำฝน) drip cap(ที่ครอบกันน้ำฝน)เป็นต้น แต่คุณสมบัติและการใช้สอยแตกต่างจากของไต้หวัน
drip stripในภาษาอังกฤษมีความใกล้เคียงกับแถบกันน้ำฝนในภาษาจีน ซึ่งมาจากชื่อผลิตภัณฑ์ของวัสดุ
การใช้สอยของขอบกันน้ำฝน(Drip edge)ในอเมริกามักจะใช้งานบริเวณหลังคา ขอบๆกระเบื้องมุงหลังคา รางน้ำ นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นที่ใกล้เคียงคือ flashing
สภาพอากาศในอเมริกาโดยหลักๆจะเป็นเขตอบอุ่น เขตหนาว รวมไปถึงเขตโซนร้อนในพื้นที่ทางใต้ ซึ่งจะมีน้ำแข็งและหิมะในฤดูหนาว ฝนตกในฤดูร้อนและมีอาณาเขตกว้างใหญ่ โครงสร้างของบ้านส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างไม้ หลังคาส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างไม้ มีชั้นกันซึม(ice & water protector, roof sheathing) ภายนอกประดับด้วยกระเบื้อง(shingle)
เนื่องจากมีน้ำแข็งและหิมะตกในฤดูหนาว ฝนตกในฤดูร้อน ตลอดจนอาคารที่เป็นไม้ซึ่งจำเป็นจะต้องป้องกันไม่ให้โครงสร้างไม้ของอาคารเกิดความชื้น ขอบกันน้ำฝนจะติดตั้งบริเวณขอบหลังคาซึ่งช่วยระบายน้ำฝนให้ออกไปจากตัวอาคาร และป้องกันไม่ให้น้ำแข็ง หิมะไหลซึมเข้ามาถึงพื้นชั้นกันซึมหรือระหว่างชั้นนอกกับชั้นกันซึม เพื่อไม่ให้โครงสร้างไม้ชื้นและผุพัง
การใช้สอยของที่ครอบกันน้ำฝน(Drip cap)ในอเมริกามักจะใช้งานบริเวณขอบหน้าต่าง วงกบหน้าต่าง เนื่องจากเป็นงานโครงสร้างไม้ ซึ่งdrip cap ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับหน้าต่างกันฝน บัวหน้าต่าง เพียงแค่สามารถครอบปิดได้แค่วงกบหน้าต่างเท่านั้นและไม่ได้ยื่นออกไปข้างนอก โดยวัสดุที่นำมาใช้ ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม สแตนเลส พลาสติกเป็นต้น โดยติดตั้งระหว่างชั้นล่างสุดและชั้นกันซึมของผนังเพื่อระบายน้ำจากผนังออกไป และป้องกันไม่ให้น้ำฝนไหลซึมเข้าไปตามแนววงกบหน้าต่างและเกิดความชื้นในโครงสร้างไม้ เป็นต้น
drip line ท่อรางน้ำ
ท่อรางน้ำ(Drip line)สามารถใช้งานได้2วิธี ในแง่ของสิ่งของคือเป็นท่อน้ำสำหรับพื้นที่เพาะปลูกและสวนผัก โดยท่อที่วางเรียงบนคันนาจะถูกเจาะรูเหล็กๆเพื่อให้น้ำได้ไหลออกมา
ท่อรางน้ำ(Drip line)ในแง่ของงานก่อสร้าง คือท่อที่ทำให้น้ำบนหลังคาไหลตามสายลงมาที่พื้น หากท่ออยู่ด้านล่างหินหรือปูน นานๆไปจะทำให้เกิดเป็นรูเล็กๆและมีตะไคร่จับ ยิ่งถ้าอยู่พื้นโคลนหรือพื้นหญ้าเมื่อฝนตกน้ำฝนจะซึมเข้าไปและส่งผลต่อความมั่นคงของฐานอาคาร เนื่องจากท่อรางน้ำส่วนใหญ่ต้องทำคลองร่วมด้วยคลองเปิดจากก้อนอิฐหรือคลองปิดจากก้อนกรวด เพื่อไม่ให้ฝนกันกร่อนพื้นและซึมเข้าไปถึงฐานอาคาร
คิ้วบัวกันสาด (Rain deflector)ส่วนใหญ่จะใช้ในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกอย่างสหราชอาณาจักร มีทั้งคิ้วบัวแบบเดี่ยวๆและแบบที่มีชิ้นส่วนที่ต้องใช้ร่วมกับธรณีประตู
หากประตูห้องอยู่ภายนอกและไม่ใช่ประตูที่ปิดสนิทและสามารถกันน้ำได้ เมื่อน้ำฝนกระเด็นโดนประตูน้ำจะหยดลงพื้นและซึมเข้าไปยังภายในห้อง หากมีธรณีประตูกั้นอยู่อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากธรณีประตูอยู่ภายนอก(ประตูที่เปิดจากด้านใน)หรือประตูและธรณีประตูอยู่ในแนวเดียวกันก็อาจจะเจอปัญหาน้ำไหลเข้าไปยังภายในได้
คิ้วบัวกันสาด (Rain deflector)สามารถนำพาน้ำฝนที่อยู่เหนือประตูไหลออกไปให้พ่นธรณีประตูได้ ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำไหลซึมเข้าไปยังภายใน
รางน้ำ(drip groove)หมายถึงรางน้ำที่อยู่เหนือช่องเปิดของผนัง เมื่อน้ำฝนไหลไปตามส่วนต่างๆจนถึงบริเวณช่องเปิดของผนัง ซึ่งน้ำฝนอาจจะไม่ได้หยดลงพื้นเสมอไป ด้วยแรงยกตัวและแรงลมจะดันน้ำฝนให้ไหลไปตามฝ้าเพดานทำให้น้ำหยดและกระเด็นเข้าไปยังภายใน รางน้ำสามารถป้องกันปัญหาน้ำไหลไปตามเพดาน น้ำไหลหยดลงมาและยังหลีกเลี่ยงปัญหาพื้นลื่นอีกด้วย
ประเภทของอาคารที่ใช้รางน้ำฝนมักจะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมแรง โดยทั่วไปจะใช้บริเวณระเบียงทางเดิน ระเบียงทางเดินแบบเปิดโล่ง ดาดฟ้า บริเวณที่ไม่มีบัวชายคา บัวหน้าต่างหรือบริเวณที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ และยังสามารถติดตั้งบริเวณหน้าต่างเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าไปในวงกลหน้าต่างและซึมเข้าไปยังภายใน; ส่วนของบันได
อาคารและผนังเตี้ยๆที่ติดทับด้วยแผ่นหินแกรนิตหรือแผ่นหินอ่อนจะมีส่วนที่ยื่นออกมาเลยผนัง ก่อให้เกิดเป็นคิ้วกันสาดที่รูปร่างที่คล้ายจะงอยปากซึ่งสามารถเป็นทั้งคิ้วกันสาดและรางน้ำได้ด้วย